เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑ ต.ค. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม ธรรมะมันสะเทือนหัวใจเรานะ การสะเทือนหัวใจ เห็นไหม เวลาสุขเวลาทุกข์ไง เวลามีความสะเทือนใจนะ ขนพองสยองเกล้า ! เวลาขนพองสยองเกล้า มันมาจากไหนล่ะ มันมาจากความรู้สึก ถ้าความรู้สึกสะเทือนใจนะ ขนลุกขนชัน ! น้ำหูน้ำตาไหล มันมาจากไหนล่ะ มันมาจากหัวใจนะ

เวลาทุกข์เวลายาก ไม่มีใครรู้ใครเห็นมัน แต่เวลามันสะเทือนใจ มันขนพองสยองเกล้า การขนพองสยองเกล้ามันเกิดจากอะไร เกิดจากความรู้สึก เห็นไหม ธรรมะเข้าสู่ความรู้สึกอันนี้ ! เราเป็นคนที่มีศักยภาพ เราเป็นคนดี คนดีที่ไหน คนดีที่เราสำนึกรู้จักตัวเราเอง ความสำนึกรู้จักตัวเราเอง...

สมบัติที่มีคุณค่าทางโลก ปัจจัยเครื่องอาศัยมันเป็นสมบัติของโลก สมบัติของเราคือคุณงามความดีของเรา สมบัติของเราคือความสุขความทุกข์ของเรา สมบัติของเรา มันวางอารมณ์ความรู้สึกในหัวใจของเรา อารมณ์ความรู้สึกไม่ใช่ใจ แต่หัวใจมันอาศัยความรู้สึกนั้นเพื่อแสดงตน ถ้าไม่มีอารมณ์ความรู้สึก แล้วหัวใจมันอยู่ที่ไหน พลังงานเฉยๆ มันอยู่ที่ไหน !

เพราะเราไม่เคยรู้จักพลังงานอันนี้กัน เราเห็นแต่อารมณ์ความรู้สึก แล้วอารมณ์ความรู้สึกมันโดนครอบงำด้วยความไม่รู้ อวิชชาคือพลังงานที่ไม่มีสติปัญญา แต่ถ้าพลังงานที่มีสติปัญญานะ สัมมาสมาธิเป็นพลังงานที่มีสติมีปัญญา มีสติมีปัญญานะ..

อวิชชา ปัจจยา สังขารา วิชชา ! วิชชามันทำลายกิเลส เห็นไหม วิชชาความรับรู้อันนั้น พลังงานที่มันไม่เป็นอวิชชานี่มันครอบงำไว้ สิ่งที่ครอบงำอยู่นี้คืออารมณ์ความรู้สึก ! อารมณ์ความรู้สึกเราควบคุมมันไม่ได้ อารมณ์ความรู้สึกมันเร้าหัวใจ อารมณ์ความรู้สึกเป็นวิญญาณ

วิญญาณในขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ... วิญญาณในอายตนะ.. วิญญาณเป็นอาหารของใจ.. ใจเสวยอารมณ์ เสวยความรู้สึกด้วยความไม่รู้ ! ด้วยความไม่รู้เราก็แสวงหาสิ่งที่เป็นปัจจัยเครื่องอาศัยในโลกนี้ มีสิ่งใดสะเทือนหัวใจเพราะความไม่รู้ เห็นไหม

ได้ทรัพย์สมบัติ ได้ลาภสักการะมานี่ขนพองสยองเกล้า ! ขนพองสยองเกล้าว่าเรามีบุญวาสนา เราได้ทรัพย์สมบัติ เราได้ทุกสิ่งสมความปรารถนา แต่มันเป็นสมบัติของโลก แต่เพราะเรามีความรู้สึก ! มีความรู้สึก มีสติปัญญา เรารับรู้ถึงจิตวิญญาณของเรา

จิตวิญญาณ เห็นไหม ปฏิสนธิจิต จิตที่มันพาเกิดเป็นมนุษย์นี้... เกิดเป็นมนุษย์แล้วมีการพลัดพรากเป็นที่สุด ! ต้องตายไปข้างหน้าแน่นอน ไม่วันใดวันหนึ่งก็ต้องพลัดพรากจากชีวิตนี้ไป..

พลัดพรากจากชีวิตนี้ไป คือพลัดพรากจากสิทธิเสรีภาพของความเป็นมนุษย์นี้ไป แต่หัวใจมันไม่ได้พลัดพรากไปจากไหนเลย หัวใจหลุดออกจากร่างกายนี้ไป มันไปเสวยตามเวรกรรมของมัน เวรกรรมที่มันสร้างมาด้วยอวิชชา เห็นไหม อวิชชา !

แต่เรามีหมู่คณะ เรามีครูมีอาจารย์คอยเตือนสติเรา พอเตือนสติเราแล้ว เราก็สร้างคุณงามความดี ! ความดี เห็นไหม “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว”

ทำดี.. ทำคุณงามความดีของเรา นี่เราเสียสละ ดูสิ ชีวิตของเขา... เราเป็นนักพรต เป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมาอยู่วัดอยู่วา เรามีศีล เรามาถือพรหมจรรย์... ความถือพรหมจรรย์นี่มันเข้ามาใกล้ตัวเราเองมากขึ้น มันเข้ามาตามความรู้สึกนี้มากขึ้น เรารักษาความรู้สึกของเรา ความรู้สึกอันนี้ที่มันไม่มีใครควบคุม ที่มันไม่รับรู้สึกต่างๆ ที่มันเป็นอวิชชา ที่มันไม่รับรู้ตัวมันเอง เห็นไหม

เรามาประพฤติพรหมจรรย์ เรามาอยู่วัดอยู่วานี้เพื่อบำรุงรักษา.. เพื่อถนอม เพื่อรักษาให้สิ่งนี้มันรู้จักตัวของมัน มันรักษาตัวมันรอด ! รักษาตัวรอด เห็นไหม เวลาชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด เวลาจิตออกจากร่างนี้ไปมันช่วยตัวเองไม่ได้

ดูสิ เหมือนเวลาเขาดิ่งพสุธา เขาอยู่กลางอากาศเขาจะช่วยตัวเขาเองได้ไหม เขาช่วยตัวเขาไม่ได้ เขากระโดดมาจากเครื่องบินนี่ เขาช่วยตัวเขาเองไม่ได้หรอก ถ้าร่มเขาไม่กาง ร่างกายเขาต้องกระทบพื้นดินตายทันที

จิตออกจากร่างไปมันเป็นนามธรรม มันอาศัยอะไร..? ในปัจจุบันจิตมันอยู่ในร่างกายนี้ ! แล้วร่างกายนี้อยู่บนเครื่องบิน เราอยู่บนเครื่องบิน คือเครื่องบินนี่รับเราไว้

นี่ก็เหมือนกัน “สถานะของมนุษย์” เราอยู่ในสถานะของมนุษย์ มีมนุษย์รับหัวใจนี้ไว้ เวลาหัวใจนี้มันออกจากร่างนี้ไป แล้วมันไปอยู่บนอะไร... มันไปอยู่บนอะไร นั้นคือบุญกรรมของมันต้องรับมันไป บุญกรรมเท่านั้น !

เราดิ่งพสุธามานี่ เราจะช่วยเหลือตัวเราเองได้อย่างไร เราจะทำตัวเราเองได้อย่างไร เห็นไหม เวลาจิตมันออกจากร่างนี้ไป จิตนี้เป็นนามธรรม.. แต่ถ้าเรามีความรู้สึก คนจะดิ่งพสุธา คนที่จะกระโดดจากเครื่องบินมา นี่เขามีความพร้อมของเขา เขาบังคับตัวเขาได้ เขาบังคับร่มเขาได้ เขาบังคับสิ่งใดๆ ได้เลย เขาไปด้วยความพร้อมนะ

นี่เราสร้างคุณงามความดีเพราะเหตุนี้ ! เราสร้างคุณงามความดีเพราะอะไร เพราะเวลาจิตออกจากร่างนี้ไป ใครเชื่อหรือไม่เชื่อนั้นมันเป็นเรื่องของเขา แต่ความจริงก็คือความจริง เพราะมันเป็นของจริงๆ อยู่ว่าทุกคนเห็นคนตายอยู่ทุกวัน นี่มันต้องตายแน่นอน ตายไปข้างหน้า

แต่ถ้าในปัจจุบันนี้เรามีสติปัญญา เราถือพรหมจรรย์ เรารักษาพรหมจรรย์พรหมจรรย์นี้เพื่ออะไร.. พรหมจรรย์เพื่อพรหมจรรย์ ! ไม่ใช่พรหมจรรย์เพื่อสิ่งใดๆ เลย ถ้าพรหมจรรย์เพื่อสิ่งใดๆ เลย เห็นไหม อย่างนั้นมันส่งออก ! พรหมจรรย์เพื่อพรหมจรรย์ พรหมจรรย์ถือศีล ๘ ถือหัวใจ ถ้ามันเข้าไปสู่หัวใจของเรานะ นี่ความสุขเกิดจากหัวใจ..

ความสุขเกิดจากข้อเท็จจริง ไม่ใช่ความสุขเกิดจากอามิส จากความสุขของโลก ! ความสุขจากอามิส คือความสุขจากสิ่งที่ได้สมความปรารถนา แต่ความสุขของเราล่ะ.. เราตั้งใจเราทำสมาธิ เราตั้งใจทำปัญญาไม่ใช่ความปรารถนาเหรอ ? มันเป็นความปรารถนา.. แต่เพราะมีความปรารถนา มันถึงเกิดตัณหา

แต่โดยจิตใต้สำนึก โดยข้อเท็จจริง เห็นไหม พลังงานที่ให้ความร้อน จิตนี่มันให้ความรู้สึกอยู่แล้ว จิตใต้สำนึก ธรรมชาติของจิตทุกดวงจิตต้องการความดี ต้องการพ้นจากทุกข์ทั้งนั้นแหละ แต่มันทำไปไม่ได้ ! มันทำไปไม่ได้เพราะมันไม่มีคนบอกกล่าวมัน เพราะมันไม่รู้จักตัวมันเอง มันไม่รู้จักอริยสัจ มันไม่รู้จักความจริง มันไม่รู้จักสิ่งใดๆ เลย

ถ้าเราทำความสงบของใจ พรหมจรรย์เพื่อพรหมจรรย์เห็นไหม ! พอพรหมจรรย์เพื่อพรหมจรรย์แล้ว นี่มันเป็นเจตนา มันเป็นตัณหาไหม..

มันเป็นมรรค ! เป็นมรรคเพราะอะไร เพราะเราอยากทวนกระแส เราไม่ได้อยากไปตามกิเลสอวิชชาที่อยากไปตามกระแส ดูสิ พลังงานมันส่งออก น้ำมันไหลลงต่ำ นี่ความคิดส่งออก ! ความคิดส่งออก แต่เราต้องการความสงบของใจ เราจะทวนกระแสกลับเข้าไป เห็นไหม อย่างนี้มันเป็นมรรค ! เป็นมรรคเพราะโลกนี้เขาไม่คิดกัน

โลกนี้เขาไม่เคยคิดอย่างนี้กัน โลกนี้เขาจากพลังงานออกมา เขาจากความคิดของเขาออกมา เขาบริหารจัดการของเขา เขาว่านี่เป็นปัญญาของเขา

“นี่เป็นโลกียปัญญา... ปัญญาเกิดจากภพ ! ปัญญาเกิดจากอวิชชา”

แต่ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา นี่เรามีความอยากไหม... อยาก ! เห็นไหม ดูสิ เราเป็นนายพรานที่จะจับปลา เรารักษาของเรานะ เราอยู่ที่แม่น้ำนะ เราพยายามรักษาของเราในลำธารต่างๆ ปลามันมาในน้ำนี่เราจะจับมัน เราตั้งสติเพราะเราจะจับ.. สิ่งที่เราจะจับปลา คือเราทำคุณงามความดีของเรา

นี่ก็เหมือนกัน เราจะจับหัวใจของเรา เราจะมีสติปัญญาของเรา เราทำคุณงามความดีอย่างนี้ เราทำคุณงามความดี.. อย่างเช่นเขาจับปลา นี่เขาเป็นพรานกับปลานะ แต่นี้จิตจับจิต ! ตัวเราเองจะจับตัวเราเอง.. ตัวเราเองจะค้นคว้าตัวเราเอง.. ตัวเราเองเพื่อค้นคว้าหาตัวเราเอง นี้มันเป็นความดีทั้งนั้นแหละ ถ้าคุณงามความดีนี้เกิดขึ้นมากับเราเห็นไหม สิ่งที่เป็นคุณงามความดีเกิดขึ้นมากับเรา

“นี่พรหมจรรย์เพื่อพรหมจรรย์… ความดีเพื่อความดี”

ถ้าความดีเพื่อโลกนะ เราทำสิ่งใดก็เพื่อโลก ถ้าเพื่อโลก นี่โลกธรรม ๘.. โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ สรรเสริญนินทา นี่เราทำเพื่อโลก แต่ถ้าเราทำพรหมจรรย์เพื่อพรหมจรรย์ของเรา เราทำความดีเพื่อความดีของเรา

ความดีคือความดี ! สิ่งที่เกิดจากความดี เห็นไหม ดูสิ ถ้าร่มไม้ที่มีใบหนาดกทึบ สิ่งที่ให้ความร่มเย็นเป็นสุข นกกาก็อาศัย ทั้งมนุษย์ทั้งสัตว์ก็อยากไปหาความร่มเย็นจากสิ่งนั้น แล้วถ้ามันมีผลไม้ มันก็เป็นอาหารของสัตว์ นี่สัตว์มันพึ่งพาอาศัย

นี่ก็เหมือนกัน ความร่มเย็นเพื่อเรา.. ถ้ามันเป็นความร่มเย็นของเรา เราพึ่งพาอาศัยเราได้ นี่เราจะเป็นที่พึ่งพาอาศัยของสังคมได้ ถ้าสังคมพึ่งพาอาศัยได้ แล้วพึ่งพาอาศัยที่ไหน ดูสิ เวลาเรารักษาคนไข้ เรารักษาที่ไหนล่ะ เรารักษาที่ตัวคนไข้นั้นใช่ไหม แล้วรักษาใจของเราล่ะ เวลาเรารักษาใจของเรา เราเข้าใจใจของเราไปหมดแล้ว

นี่สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากใจเรา .. “จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง” ถ้าใจของเรา.. เรายังเข้าใจใจของเราไม่ได้ แล้วเราจะไปรักษาใคร ! ถ้าหัวใจเราไม่ได้รักษาใคร เรามีตำรา ก็กางตำรารักษากันเลย เอาตำรามากางว่าต้องรักษาอย่างนั้น.. ต้องรักษาอย่างนั้น กางตำราแล้วดูตามตำรา อย่างนั้นมันรักษาได้ไหมล่ะ

แต่ถ้าเราเคยเป็นไข้ หรือหัวใจเรามีความเป็นพิษของมัน แล้วเราแก้ไขของเราได้ “จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง” ทุกดวงใจเป็นอย่างนี้หมด ! มันเป็นโดยสัจธรรมเลย ถ้าโดยสัจธรรม นี่เราทำของเราได้แล้ว เรารู้ของเราได้แล้ว ว่ามันเป็นอย่างนั้น.. มันเป็นอย่างนั้น นี่มันไม่ต้องดูตำรา

ตำราส่วนตำรานะ.. แต่นี่ใจเราไม่รู้ถ้าดูตามตำรานะ ตำราแล้วเราก็ต้องมาเทียบเคียงก่อนว่า เป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่า เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า แล้วเราถึงรักษาไป เห็นไหม

“ฉะนั้นการรักษาที่เยี่ยมที่สุด คือรักษาใจเราก่อน” เราต้องรักษาใจเราให้ได้ ! ถ้าเรารักษาใจเราให้ได้แล้ว นี่ตำราส่วนตำรานะ

นี่ก็เหมือนกัน เราศึกษาตำรากันเพื่อโลก เพื่อสงสาร เราจะช่วยเหลือคนอื่นไปหมดเลย แต่เราช่วยตัวเราเองไม่ได้เลย เราช่วยเหลือตัวเราเองไม่ได้ แล้วเราจะไปช่วยเหลือใคร เราต้องช่วยเหลือตัวเราเองก่อน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาที่โคนต้นโพธิ์องค์เดียว เห็นไหม นี่เป็นครูของเทวดา ของอินทร์ ของพรหม เป็นครูของทั้งหมด เป็นศาสดา เป็นผู้สั่งสอน เป็นผู้อบรม เป็นผู้ชี้นำ ให้ความสุขกับโลกธาตุนี้มหาศาลเลย

ถ้าเราช่วยตัวเราเองได้นะ ดูสิ สิ่งที่มันเป็นพลังงาน สิ่งที่เป็นหัวใจที่ครอบสามโลกธาตุ มันให้ประโยชน์กับสังคมได้มากมายขนาดนั้น แล้วตัวมันเองจะมีคุณค่าแค่ไหน ถ้าเราทำความสงบของใจเข้ามา เราก็รู้แล้วว่าสัมมาสมาธิ ความสงบของใจมันร่มเย็นเป็นสุขแค่ไหน ถ้าเกิดปัญญาญาณขึ้นมา อริยสัจมันเกิดขึ้นมา มรรคญาณมันเกิดขึ้นมา นี่มีการกระทำ มีกิจจญาณ สัจจญาณ เห็นไหม

“ถ้าเราไม่มีกิจ ๑๒ เราจะไม่ปฏิญาณตนว่าเราเป็นพระอรหันต์” นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ในธรรมจักร

ถ้าจิตมันไม่มีการกระทำ จิตมันไม่มีความเป็นไป... ถ้าจิตไม่มีการกระทำ จิตไม่มีความเป็นไป เห็นไหม มีสิ่งที่เป็นการกระทำขึ้นมานี้ มันเกิดจากการกระทำของเรา แล้วจิตของเรามันทำ นี่ไงงาน ! “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว”

งานของโลกเขา เขาทำกันเพื่อประโยชน์ของโลกเขา โลกธรรม ๘..

งานของพระเรานะ ดูสิ เดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนา ! เดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนา นั่นก็กิริยาเฉยๆ ถ้าหัวใจมันไม่เป็นไป นี่มันจะเกิดสิ่งใดขึ้นมา

ถ้าหัวใจมันเป็นไปขึ้นมา เห็นไหม หัวใจมันเป็นไป มันเป็นไปขึ้นมาจากอะไร เกิดสติปัญญาขึ้นมา แล้วเกิดสติปัญญาขึ้นมานี้ ดูสิ ดูคุณค่าของแร่ธาตุ คุณค่าของกรวดของทราย คุณค่าของเพชรนิลจินดา มันมีคุณค่าแตกต่างกันอย่างใด

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เป็นตำราๆ นี่มันเป็นเครื่องชี้นำธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะเป็นธรรมชาติ.. สิ่งต่างๆ เป็นธรรมชาติ เราก็เป็นธรรมชาติ โลกนี้เป็นธรรมชาติอยู่แล้ว ความทุกข์ก็เป็นธรรมชาติ แล้วทำไมทิ้งมันไม่ได้ล่ะ.. แต่ถ้าเป็นเพชรนิลจินดาขึ้นมานะ

“จิตที่มันเป็นขึ้นมานี่ มันมหัศจรรย์กว่านั้นเยอะ ! มันมหัศจรรย์กว่าสิ่งที่เราคาดหมายไว้มากนัก !”

“โลกียปัญญา” ปัญญาที่เราคิดขึ้นมา ปัญญาที่เราใช้สมองขึ้นมา นี่มันกระดาษทั้งนั้นเลย ปัญญาจากกระดาษ ปัญญาจากภพ !

แต่ถ้า “ภาวนามยปัญญา คือปัญญาจากจิต” ปัญญาเกิดจากสิ่งที่มันเป็นความชั่วร้าย ! อวิชชามันอยู่ที่นั่น ! นี่มารมันอยู่ที่นั่น แล้วปัญญาเข้าไปชำระล้างมาร

ดูสิ ความลึกลับมหัศจรรย์ของกรวดกับเพชรมันแตกต่างกัน ปัญญาที่การวิปัสสนานี้มันแตกต่างกับปัญญาโลกๆ มหาศาลเลย ปัญญาที่เราคิดกันอยู่นี้ แม้แต่ศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ มันมีคุณค่าที่ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิญาณตนเป็นพระอรหันต์

นี่ปัญจวัคคีย์.. “เราไม่เคยเป็น.. เราก็บอกว่าไม่เป็น ! บัดนี้เราเป็นแล้ว เธอจงเงี่ยหูลงฟัง !”

นี่ปัญจวัคคีย์.. ปัญจวัคคีย์ผู้อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา ผู้ที่สมบุกสมบั่นมาด้วยกัน เห็นไหม นี่มันก็เกิดทิฐิมานะ ความตีเสมอตน ตีความเสมอกัน แล้วก็ว่า “กลับมามักมาก กลับมาฉันอาหาร แล้วจะมาสอนเราได้อย่างไร” แต่พอใจมันเป็นขึ้นมาแล้ว เห็นไหม “เธอจงเงี่ยหูลงฟัง !”

นี่จากใจที่เป็นอวิชชา จากใจที่เป็นโลกียปัญญา จากใจที่เคยสัมผัสกันมาด้วยกัน กับใจที่มันเป็นเพชร กับจิตใจที่มันเกิดมรรคญาณ นี่กิจ ๑๒ ที่มันเกิดขึ้นมา การกระทำของเรานี่มันเกิดกิจ ๑๒ ขึ้นมา เห็นไหม

ความดีความชั่ว ! ความดีความชั่วนะ “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ในเมื่อทำดีได้ดี ดีของใคร.. ดีของโลก ก็เป็นความดีของโลกๆ เขา ถ้าดีของธรรมล่ะ.. แต่เรานี้เราเป็นชาวพุทธ เราก็ต้องมีทาน ศีล ภาวนาใช่ไหม เราก็มีพื้นฐานของเรามา ฐานของเจดีย์มันกว้างมาก ดูตัวเจดีย์สิ แต่ปลายยอดเจดีย์มันมีส่วนน้อยมาก

นี่ก็เหมือนกัน ฐานของเรา.. ฐานของจิตของเรา ฐานของตัวของเรา เราทำทาน ทำศีล ภาวนา... ทาน เห็นไหม ดูสิทำง่ายๆ อย่างนี้ เรายังต้องขวนขวายกันขนาดนี้ ทำง่ายๆ นะ ทำง่ายๆ มันเกิดจากไหน …

“การเสียสละหลุดออกไปจากใจ เกิดผลกลับมาทันที” หลุดออกไปจากใจ.. ไม่ใช่หลุดออกไปจากมือนะ มือนี่ใจมันสั่ง “หลุดออกไปจากใจ” ใจมีเจตนา ใจมีการกระทำ หลุดออกไปจากใจ ! มันย้อนกลับไปที่ใจ

เพราะใจเป็นคนทำ ใจเป็นเจตนานั้น ถ้าใจเป็นคนทำนะ ใจมีการฝึกฝน เห็นไหม ของที่หลุดออกไป ดูสิ เราตัดกิ่งไม้ออกจากต้นไม้นั้นไป นี่ความตระหนี่ถี่เหนียว ความติฉินนินทาในหัวใจนี้มันได้หลุดออกไป เพราะเรามีการเสียสละ มีการฝึกหัด.. มีการฝึกหัดโดยที่ไม่ได้คิดถึงอารมณ์ความรู้สึก แต่มันคิดถึงวัตถุนั้น แต่วัตถุนั้นมันมีอารมณ์ความรู้สึก มีหัวใจนี้เป็นผู้ที่เป็นเจ้าของ มันมีการเสียสละมา นี่คือผลของทาน !

“ทาน.. ศีล.. ภาวนา..”

ผลของศีล ! ผลของศีลคือความปกติของใจ...

ผลของภาวนา พอเกิดภาวนานี่มันจะหูตาตื่นไง มันจะหูตานี่พองไปหมดเลย โอ้โฮ.. ปัญญาเป็นอย่างนี้เหรอ..? ปัญญาเป็นอย่างนี้เหรอ..? ปัญญาเกิดจากสมาธิมันเป็นอย่างนี้เหรอ...? ปัญญาที่ฆ่ากิเลสมันเป็นอย่างนี้เหรอ..? ไม่ใช่ปัญญาตะครุบเงากันอยู่อย่างนั้นแหละ ! ปัญญาตะครุบเงากันอยู่อย่างนั้น ว่านี่มันเป็นปัญญาโลกๆ เห็นไหม

“โลกียปัญญา-โลกุตตรปัญญา” ปัญญาของโลกเขากับปัญญาของธรรม

ปัญญาของธรรมคือภาวนามยปัญญา จะเกิดจากการภาวนา ไม่เกิดจากที่ไหน ไม่เกิดจากที่ใดทั้งสิ้น ! ไม่เกิดจากวัตถุ ไม่เกิดจากสถิติ ไม่เกิดจากการคำนวณ ไม่มี ! เกิดจากจิตอย่างเดียว !

เกิดจากจิต ถ้าจิตเป็นสัมมาสมาธิ... เกิดจากจิต อวิชชาอยู่ที่จิต ! ปฏิสนธิจิต จิตเกิดตาย... เกิดจากจิต แล้วทำลายที่จิตนั้น จะเป็นผลงานของเรา ! เอวัง